วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ฉุยฉายยอพระกลิ่น


ฉุยฉายยอพระกลิ่น เป็นชุดการแสดงรำเดี่ยวตัวนางที่สวยงามอีกชุดหนึ่ง อยู่ในการแสดง ละครดึกดำบรรพ์ เรื่องมณีพิชัย บทพระนิพนธ์ในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ เนื้อเรื่องกล่าวถึง ตอนที่พระมณีพิชัยต้องไปเป็นข้ารับใช้ของเจ้าพราหมณ์ (นางยอพระกลิ่นซึ่งเป็นมเหสีของพระมณีพิชัยแปลงมา) เจ้าพราหมณ์แปลงนึกสงสารพระมณีพิชัยจึงออกอุบายว่าตนจะไปเที่ยวป่า และจะให้น้องสาวมาอยู่เป็นเพื่อน เมื่อสั่งเสร็จ เจ้าพราหมณ์ก็เดินเลี่ยงมา แปลงกายกลับเป็นนางยอพระกลิ่นตามเดิม ลีลาการร่ายรำชุดนี้เมื่อนางยอพระกลิ่นแปลงกายแต่งตัวใหม่จึงเกิดความภาคภูมิใจที่แต่งองค์ทรงเครื่องสวยงดงาม เพื่อให้พระมณีพิชัยตกใจและเกิดความหลงใหลในความงาม

ประวัติความเป็นมา
ยอพระกลิ่นเป็นนางที่มีกลิ่นกายหอมเป็นธิดาของนางเกศินีราชธิดาแห่งเมืองปาตะลีกับพระอินทร์ นางเกศินีเป็นเพียงมนุษย์แต่ได้เป็นชายาของพระอินทร์ ก็เพราะบุพเพสันนิวาส พระอินทร์ได้พานางเกศินีไปอยู่ด้วยกันบนสวรรค์ จนนางเกศินีครบกำหนดคลอดจึงลงมาเนรมิตพลับพลาให้เป็นที่คลอดของนางเกศินี แล้วนางเกศินีก็คลอดบุตรธิดามีกลิ่นกายหอมยิ่งนัก พระอินทร์จึงให้ชื่อว่า ยอพระกลิ่น และด้วยความเป็นห่วงธิดายิ่งนัก พระอินทร์จึงทรงเนรมิตเครื่องทรงที่เป็นทิพย์แล้วนำธิดาไปใส่ไว้ในปล้องไผ่สีสุกในป่าใหญ่และประกาศิตไว้ว่า หากผู้ใดที่มิใช่คู่ครองของนางมาพบไม้ไผ่นี้ก็ขอให้ตัดมิได้ แต่หากใครมีบุญสมเป็นคู่ครองของนางแล้วไซร้ ขอให้มาพบและตัดปล้องไผ่สำเร็จได้ตัวนางไป
อยู่มาวันหนึ่ง พระมณีพิชัยเป็นโอรสของท้าวพิชัยนุราช เจ้าเมืองอยุธยา เสด็จประพาสป่าและได้พักแรมในป่า คืนนั้นเทวดาดลใจให้ฝันว่ามีดอกไม้ร่วงลงมาจากสวรรค์ตกลงบนที่นอน กลิ่นหอมของดอกไม้นั้นหอมยิ่งกว่าดอกไม้ใดๆ ในโลก เมื่อพระมณีพิชัยตื่นขึ้นจึงจดจำและติดตามกลิ่นหอมนั้นจนมาพบลำไผ่สีสุกอร่าม แล้วตรัสสั่งให้ไพร่พลทหารตัดไผ่ลำนั้นมา แต่ก็มิอาจตัดได้จนสุดกำลังของไพร่พลทหาร พระองค์จึงทรงลงมือด้วยพระองค์เองฟันฉับเดียวลำไผ่ก็ขาด จึงแลเห็นหญิงสาวอยู่ในปล้องไผ่มีสิริโฉมงดงามยิ่งนัก พระองค์จึงตกหลุมรักนางในทันที
พระมณีพิชัยจึงได้พานางยอพระกลิ่นกลับวังเพื่อไปเป็นพระชายา ทั้งสองพระองค์อยู่ด้วยกันในพระราชวังแต่มิได้ทูลให้ท้าวพิชัยนุราชและนางจันทร พระบิดาและพระมารดาทรงทราบ ด้วยกลัวว่าทั้งสองพระองค์จะทรงกริ้ว ต่อมาเมื่อเจ้ากรุงจีนส่งสาสน์มาขอเกี่ยวดองโดยจะยกธิดาให้อภิเษกกับพระมณีพิชัย ท้าวพิชัยนุราชจึงยินดีรับด้วยความเต็มใจและได้กำหนดวันไว้ในเดือนเก้า ฝ่ายพระมณีพิชัยเมื่อทราบเรื่องจึงแสร้งทำเป็นป่วยไม่ยอมเข้าเฝ้า พระบิดาพระมารดาจึงมาเยี่ยม ความลับเรื่องนางยอพระกลิ่นจึงถูกเปิดเผย
ครั้นท้าวพิชัยนุราชเห็นนางยอพระกลิ่นทั้งสวยและมารยาทงามก็ทรงเกิดความเอ็นดู แต่นางจันทรไม่พอพระทัย จึงหาเรื่องใส่ร้ายโดยฆ่าแมวตัวโปรดของตน แล้วแอบเข้าไปในห้องบรรทมของนางยอพระกลิ่นก็แอบเอาหางแมวเหน็บไว้ที่มวยผมและเอาเลือดป้ายปากนาง จากนั้นทำทีเป็นร้องทั่วทั้งวังให้คนค้นหาแมว จนมาพบหลักฐานที่ตัวนางยอพระกลิ่น นางจันทรจึงกล่าวหาว่านางยอพระกลิ่นเป็นกระสือ พระมณีพิชัยก็หลงเชื่อพระมารดา นางจันทรจึงตรัสสั่งให้จับนางยอพระกลิ่นยัดไว้ในหีบแล้วนำไปฝังดิน พระอินทร์เห็นว่าธิดาของพระองค์กำลังลำบากจึงรีบลงมาช่วยโดยแปลงร่างนางยอพระกลิ่นให้เป็นพราหมณ์ตั้งอาศรมอยู่นอกเมือง แล้วดลใจให้นางจันทรอยากลงเล่นน้ำ ขณะเล่นน้ำนางได้เก็บดอกไม้ที่ลอยมาตามน้ำ ซึ่งมีงูซ่อนอยู่ฉกเข้าที่ศีรษะของนางจึงทำให้นางสลบอยู่ตรงท่าน้ำ ท้าวพิชัยนุราชหาหมอมารักษาแต่นางก็ยังไม่ฟื้น กระทั่งพราหมณ์ (นางยอพระกลิ่น) อาสารักษาให้ แต่มีข้อแม้ขอให้พระมณีพิชัยไปเป็นข้ารับใช้ตนจึงจะยอมรักษานางจันทร เมื่อพระมณีพิชัยตกลงตามข้อเรียกร้องพราหมณ์จึงทำการรักษานางจันทรโดยอ่านมนต์ของพระอินทร์ นางจึงฟื้นและหายเป็นปกติจนได้รู้ความจริงจากนางจันทรว่าใส่ร้ายนางยอพระกลิ่นที่ฆ่าแมว
เมื่อถึงอาศรมพระมณีพิชัยคอยปรนนิบัติรับใช้เจ้าพราหมณ์ด้วยความสงสัยในรูปร่างหน้าตาของพราหมณ์ที่ละม้ายคล้ายคลึงกับยอพระกลิ่นชายาของตน จึงอยากทดสอบว่าพระมณีพิชัยยังซื่อสัตย์มั่นคงในรักหรือไม่ จึงบอกว่าตัวพราหมณ์นั้นจะออกไปป่า จะให้น้องสาวมาอยู่เป็นเพื่อน พอลับสายตา พราหมณ์ก็แปลงร่างกายเป็นนางยอพระกลิ่นดังเดิม เมื่อพระมณีพิชัยได้เห็นจึงตกใจและสำรวมกิริยา แม้นางยอพระกลิ่นจะแกล้งยั่วยวนสารพัด นางยอพระกลิ่นเห็นว่าพระมณีพิชัยยังมั่นคงในรักจึงยอมใจอ่อนและให้พระมณีพิชัยกลับคืนวัง         
การถ่ายทอดท่ารำฉุยฉายยอพระกลิ่น นางนพรัตน์ หวังในธรรม ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ไทย วิทยาลัยนาฎศิลป สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ เป็นผู้ได้รับการถ่ายทอดท่ารำฉุยฉาย     ยอพระกลิ่นมาจากหม่อมครูต่วน (นางศุภลักษณ์ ภัทรวานิก) และคุณครูเฉลย ศุขะวณิช ได้ถ่ายทอดท่ารำให้แก่นักศึกษาระดับปริญญาตรีของคณะศิลปศึกษา วิทยาลัยนาฎศิลปสมทบสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล โดยนำบทมาจากบทละครดึกดำบรรพ์ เรื่องมณีพิชัย พระนิพนธ์ในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ดังปรากฏข้อมูลจากหนังสือ กรมศิลปากร (2551, หน้า 101)

บทร้อง
          บทร้องฉุยฉายยอพระกลิ่น มาจากบทละครดึกดำบรรพ์ เรื่องมณีพิชัย พระนิพนธ์ในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์

ปี่พาทย์ทำเพลงรัว
- ร้องเพลงฉุยฉาย -

ฉุยฉายเอย                         ชำเลืองเยื้องกรายเลียบชายมาในป่า
เครื่องประดับวะวับแวมแสง               ขาวเขียวแดงเพชรนิลจินดา
งามสรรพงามจับนัยน์ตา                  พระมณีเห็นหน้าจะบ้าตาย
สายสวาท                          ระทวยนวยนาดวิลาสวิไล
นวลละอองสองแก้ม                       ยิ้มแย้มอยู่แจ่มใส
พระมณีเห็นเมื่อไร                         ใจจะขาดลงรอนรอน

- ร้องแม่ศรี 

แม่ศรีเอย                           แม่ศรีแสนงอน
เจรจาว่าวอน                               ออดอ้อนน่าฟัง
เตรียมจะล้อพระมณี                       ให้ภูมีเธอจังงัง
ใจหนุ่มคงคลุ้มคลั่ง                         น่าฟังเจ้าแม่ศรีเอย
เจ้าสไบเอย                         เจ้าสไบสีลิ้นจี่
เจ้าค่อยจรลี                                มาที่ศาลาลัย
เจ้าจะลวงดูท่วงที                          พระมณีพิชัย
ดัดจริตให้ติดใจ                            รักเจ้าสไบสีเอย

- ปี่พาทย์ทำเพลงเร็ว – ลา 

ดนตรี
วงปี่พาทย์ไม้แข็งหรือปี่พาทย์เครื่องห้า ประกอบด้วย ระนาด ฆ้องวง ตะโพน กลองทัด ฉิ่ง และปี่ใน เพลงที่ใช้ประกอบการแสดง ได้แก่ เพลงรัว เพลงฉุยฉาย เพลงแม่ศรี เพลงเร็ว และเพลงลา
เพลงรัว เป็นเพลงหน้าพาทย์เบื้องต้น ใช้สำหรับการแสดงฤทธิ์หรือการเกิดปรากฏการณ์โดยฉับพลัน เช่น พราหมณ์น้อยแปลงกายเป็นนางยอพระกลิ่น
เพลงฉุยฉาย เป็นเพลงหน้าพาทย์ที่ใช้ประกอบกิริยาของตัวโขนและละครแสดงถึงความภาคภูมิใจในความงาม
เพลงแม่ศรี เป็นเพลงหน้าพาทย์ที่ใช้ประกอบการแสดงกิริยาสนุกสนาน ร่าเริง แสดงอารมณ์และความภาคภูมิใจในความงาม
เพลงรัว เป็นเพลงหน้าพาทย์ที่ใช้ประกอบการแสดงกิริยาการเดินอย่างนวยนาด
เพลงลา เป็นเพลงหน้าพาทย์ที่บรรเลงต่อจากเพลงเร็ว เมื่อจบการรำ การแต่งกาย

รูปแบบการรำ
1. ออกด้วยเพลงรัว      รำท่าสอดสร้อยมาลา แล้วป้องหน้า
2. บทร้อง                รำตีบท ตามคำร้องฉุยฉายและแม่ศรี
3. จบเพลงเร็ว ลา     รำตามทำนองเพลง

เครื่องแต่งกาย
ผู้แสดงแต่งกายยืนเครื่องนาง นุ่งผ้าจีบหน้านางสีน้ำเงิน ชายพกด้านซ้ายห่มสไบปักชายเดียว สวมกรองคอสวมศิราภรณ์กระบังหน้า
การแต่งกายแบบยืนเครื่องตัวนาง ดังนี้
1. กระบังหน้า อุบะ ดอกไม้ทัด
2. เกี้ยว และปิ่นปักผม
3. สไบนางปักชายเดียว (สีชมพูขลิบน้ำเงิน)
4. ผ้านุ่ง (สีน้ำเงิน)
5. กรองคอหรือนวมนาง (สีน้ำเงิน)
6. จี้นาง
7. สะอิ้งหรือสร้อยตัว
8. เข็มขัด
9. กำไลข้อมือหรือกำไลแผง
10. กำไลข้อเท้า


อ้างอิง
https://www.google.co.th/search?hl=th&authuser=0&biw=1366&bih=608&tbm=isch&sa=1&ei=b5J3XKvdFsjc9QOq87XABA&q=%E0%B8%89%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99&oq=%E0%B8%89%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2&gs_l=img.1.5.35i39l2j0l8.26251.29506..38120...0.0..0.249.1387.2-6......1....1..gws-wiz-img.jFrUuoQ_oyQ#imgdii=BhRABelnJ1eJIM:&imgrc=c1KF7RTTs89QoM:

http://cuycay.blogspot.com/2017/07/blog-post_16.html

https://www.youtube.com/watch?v=Y1kRANFt44w

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น