วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ฉุยฉายยอพระกลิ่น


ฉุยฉายยอพระกลิ่น เป็นชุดการแสดงรำเดี่ยวตัวนางที่สวยงามอีกชุดหนึ่ง อยู่ในการแสดง ละครดึกดำบรรพ์ เรื่องมณีพิชัย บทพระนิพนธ์ในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ เนื้อเรื่องกล่าวถึง ตอนที่พระมณีพิชัยต้องไปเป็นข้ารับใช้ของเจ้าพราหมณ์ (นางยอพระกลิ่นซึ่งเป็นมเหสีของพระมณีพิชัยแปลงมา) เจ้าพราหมณ์แปลงนึกสงสารพระมณีพิชัยจึงออกอุบายว่าตนจะไปเที่ยวป่า และจะให้น้องสาวมาอยู่เป็นเพื่อน เมื่อสั่งเสร็จ เจ้าพราหมณ์ก็เดินเลี่ยงมา แปลงกายกลับเป็นนางยอพระกลิ่นตามเดิม ลีลาการร่ายรำชุดนี้เมื่อนางยอพระกลิ่นแปลงกายแต่งตัวใหม่จึงเกิดความภาคภูมิใจที่แต่งองค์ทรงเครื่องสวยงดงาม เพื่อให้พระมณีพิชัยตกใจและเกิดความหลงใหลในความงาม

ประวัติความเป็นมา
ยอพระกลิ่นเป็นนางที่มีกลิ่นกายหอมเป็นธิดาของนางเกศินีราชธิดาแห่งเมืองปาตะลีกับพระอินทร์ นางเกศินีเป็นเพียงมนุษย์แต่ได้เป็นชายาของพระอินทร์ ก็เพราะบุพเพสันนิวาส พระอินทร์ได้พานางเกศินีไปอยู่ด้วยกันบนสวรรค์ จนนางเกศินีครบกำหนดคลอดจึงลงมาเนรมิตพลับพลาให้เป็นที่คลอดของนางเกศินี แล้วนางเกศินีก็คลอดบุตรธิดามีกลิ่นกายหอมยิ่งนัก พระอินทร์จึงให้ชื่อว่า ยอพระกลิ่น และด้วยความเป็นห่วงธิดายิ่งนัก พระอินทร์จึงทรงเนรมิตเครื่องทรงที่เป็นทิพย์แล้วนำธิดาไปใส่ไว้ในปล้องไผ่สีสุกในป่าใหญ่และประกาศิตไว้ว่า หากผู้ใดที่มิใช่คู่ครองของนางมาพบไม้ไผ่นี้ก็ขอให้ตัดมิได้ แต่หากใครมีบุญสมเป็นคู่ครองของนางแล้วไซร้ ขอให้มาพบและตัดปล้องไผ่สำเร็จได้ตัวนางไป
อยู่มาวันหนึ่ง พระมณีพิชัยเป็นโอรสของท้าวพิชัยนุราช เจ้าเมืองอยุธยา เสด็จประพาสป่าและได้พักแรมในป่า คืนนั้นเทวดาดลใจให้ฝันว่ามีดอกไม้ร่วงลงมาจากสวรรค์ตกลงบนที่นอน กลิ่นหอมของดอกไม้นั้นหอมยิ่งกว่าดอกไม้ใดๆ ในโลก เมื่อพระมณีพิชัยตื่นขึ้นจึงจดจำและติดตามกลิ่นหอมนั้นจนมาพบลำไผ่สีสุกอร่าม แล้วตรัสสั่งให้ไพร่พลทหารตัดไผ่ลำนั้นมา แต่ก็มิอาจตัดได้จนสุดกำลังของไพร่พลทหาร พระองค์จึงทรงลงมือด้วยพระองค์เองฟันฉับเดียวลำไผ่ก็ขาด จึงแลเห็นหญิงสาวอยู่ในปล้องไผ่มีสิริโฉมงดงามยิ่งนัก พระองค์จึงตกหลุมรักนางในทันที
พระมณีพิชัยจึงได้พานางยอพระกลิ่นกลับวังเพื่อไปเป็นพระชายา ทั้งสองพระองค์อยู่ด้วยกันในพระราชวังแต่มิได้ทูลให้ท้าวพิชัยนุราชและนางจันทร พระบิดาและพระมารดาทรงทราบ ด้วยกลัวว่าทั้งสองพระองค์จะทรงกริ้ว ต่อมาเมื่อเจ้ากรุงจีนส่งสาสน์มาขอเกี่ยวดองโดยจะยกธิดาให้อภิเษกกับพระมณีพิชัย ท้าวพิชัยนุราชจึงยินดีรับด้วยความเต็มใจและได้กำหนดวันไว้ในเดือนเก้า ฝ่ายพระมณีพิชัยเมื่อทราบเรื่องจึงแสร้งทำเป็นป่วยไม่ยอมเข้าเฝ้า พระบิดาพระมารดาจึงมาเยี่ยม ความลับเรื่องนางยอพระกลิ่นจึงถูกเปิดเผย
ครั้นท้าวพิชัยนุราชเห็นนางยอพระกลิ่นทั้งสวยและมารยาทงามก็ทรงเกิดความเอ็นดู แต่นางจันทรไม่พอพระทัย จึงหาเรื่องใส่ร้ายโดยฆ่าแมวตัวโปรดของตน แล้วแอบเข้าไปในห้องบรรทมของนางยอพระกลิ่นก็แอบเอาหางแมวเหน็บไว้ที่มวยผมและเอาเลือดป้ายปากนาง จากนั้นทำทีเป็นร้องทั่วทั้งวังให้คนค้นหาแมว จนมาพบหลักฐานที่ตัวนางยอพระกลิ่น นางจันทรจึงกล่าวหาว่านางยอพระกลิ่นเป็นกระสือ พระมณีพิชัยก็หลงเชื่อพระมารดา นางจันทรจึงตรัสสั่งให้จับนางยอพระกลิ่นยัดไว้ในหีบแล้วนำไปฝังดิน พระอินทร์เห็นว่าธิดาของพระองค์กำลังลำบากจึงรีบลงมาช่วยโดยแปลงร่างนางยอพระกลิ่นให้เป็นพราหมณ์ตั้งอาศรมอยู่นอกเมือง แล้วดลใจให้นางจันทรอยากลงเล่นน้ำ ขณะเล่นน้ำนางได้เก็บดอกไม้ที่ลอยมาตามน้ำ ซึ่งมีงูซ่อนอยู่ฉกเข้าที่ศีรษะของนางจึงทำให้นางสลบอยู่ตรงท่าน้ำ ท้าวพิชัยนุราชหาหมอมารักษาแต่นางก็ยังไม่ฟื้น กระทั่งพราหมณ์ (นางยอพระกลิ่น) อาสารักษาให้ แต่มีข้อแม้ขอให้พระมณีพิชัยไปเป็นข้ารับใช้ตนจึงจะยอมรักษานางจันทร เมื่อพระมณีพิชัยตกลงตามข้อเรียกร้องพราหมณ์จึงทำการรักษานางจันทรโดยอ่านมนต์ของพระอินทร์ นางจึงฟื้นและหายเป็นปกติจนได้รู้ความจริงจากนางจันทรว่าใส่ร้ายนางยอพระกลิ่นที่ฆ่าแมว
เมื่อถึงอาศรมพระมณีพิชัยคอยปรนนิบัติรับใช้เจ้าพราหมณ์ด้วยความสงสัยในรูปร่างหน้าตาของพราหมณ์ที่ละม้ายคล้ายคลึงกับยอพระกลิ่นชายาของตน จึงอยากทดสอบว่าพระมณีพิชัยยังซื่อสัตย์มั่นคงในรักหรือไม่ จึงบอกว่าตัวพราหมณ์นั้นจะออกไปป่า จะให้น้องสาวมาอยู่เป็นเพื่อน พอลับสายตา พราหมณ์ก็แปลงร่างกายเป็นนางยอพระกลิ่นดังเดิม เมื่อพระมณีพิชัยได้เห็นจึงตกใจและสำรวมกิริยา แม้นางยอพระกลิ่นจะแกล้งยั่วยวนสารพัด นางยอพระกลิ่นเห็นว่าพระมณีพิชัยยังมั่นคงในรักจึงยอมใจอ่อนและให้พระมณีพิชัยกลับคืนวัง         
การถ่ายทอดท่ารำฉุยฉายยอพระกลิ่น นางนพรัตน์ หวังในธรรม ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ไทย วิทยาลัยนาฎศิลป สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ เป็นผู้ได้รับการถ่ายทอดท่ารำฉุยฉาย     ยอพระกลิ่นมาจากหม่อมครูต่วน (นางศุภลักษณ์ ภัทรวานิก) และคุณครูเฉลย ศุขะวณิช ได้ถ่ายทอดท่ารำให้แก่นักศึกษาระดับปริญญาตรีของคณะศิลปศึกษา วิทยาลัยนาฎศิลปสมทบสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล โดยนำบทมาจากบทละครดึกดำบรรพ์ เรื่องมณีพิชัย พระนิพนธ์ในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ดังปรากฏข้อมูลจากหนังสือ กรมศิลปากร (2551, หน้า 101)

บทร้อง
          บทร้องฉุยฉายยอพระกลิ่น มาจากบทละครดึกดำบรรพ์ เรื่องมณีพิชัย พระนิพนธ์ในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์

ปี่พาทย์ทำเพลงรัว
- ร้องเพลงฉุยฉาย -

ฉุยฉายเอย                         ชำเลืองเยื้องกรายเลียบชายมาในป่า
เครื่องประดับวะวับแวมแสง               ขาวเขียวแดงเพชรนิลจินดา
งามสรรพงามจับนัยน์ตา                  พระมณีเห็นหน้าจะบ้าตาย
สายสวาท                          ระทวยนวยนาดวิลาสวิไล
นวลละอองสองแก้ม                       ยิ้มแย้มอยู่แจ่มใส
พระมณีเห็นเมื่อไร                         ใจจะขาดลงรอนรอน

- ร้องแม่ศรี 

แม่ศรีเอย                           แม่ศรีแสนงอน
เจรจาว่าวอน                               ออดอ้อนน่าฟัง
เตรียมจะล้อพระมณี                       ให้ภูมีเธอจังงัง
ใจหนุ่มคงคลุ้มคลั่ง                         น่าฟังเจ้าแม่ศรีเอย
เจ้าสไบเอย                         เจ้าสไบสีลิ้นจี่
เจ้าค่อยจรลี                                มาที่ศาลาลัย
เจ้าจะลวงดูท่วงที                          พระมณีพิชัย
ดัดจริตให้ติดใจ                            รักเจ้าสไบสีเอย

- ปี่พาทย์ทำเพลงเร็ว – ลา 

ดนตรี
วงปี่พาทย์ไม้แข็งหรือปี่พาทย์เครื่องห้า ประกอบด้วย ระนาด ฆ้องวง ตะโพน กลองทัด ฉิ่ง และปี่ใน เพลงที่ใช้ประกอบการแสดง ได้แก่ เพลงรัว เพลงฉุยฉาย เพลงแม่ศรี เพลงเร็ว และเพลงลา
เพลงรัว เป็นเพลงหน้าพาทย์เบื้องต้น ใช้สำหรับการแสดงฤทธิ์หรือการเกิดปรากฏการณ์โดยฉับพลัน เช่น พราหมณ์น้อยแปลงกายเป็นนางยอพระกลิ่น
เพลงฉุยฉาย เป็นเพลงหน้าพาทย์ที่ใช้ประกอบกิริยาของตัวโขนและละครแสดงถึงความภาคภูมิใจในความงาม
เพลงแม่ศรี เป็นเพลงหน้าพาทย์ที่ใช้ประกอบการแสดงกิริยาสนุกสนาน ร่าเริง แสดงอารมณ์และความภาคภูมิใจในความงาม
เพลงรัว เป็นเพลงหน้าพาทย์ที่ใช้ประกอบการแสดงกิริยาการเดินอย่างนวยนาด
เพลงลา เป็นเพลงหน้าพาทย์ที่บรรเลงต่อจากเพลงเร็ว เมื่อจบการรำ การแต่งกาย

รูปแบบการรำ
1. ออกด้วยเพลงรัว      รำท่าสอดสร้อยมาลา แล้วป้องหน้า
2. บทร้อง                รำตีบท ตามคำร้องฉุยฉายและแม่ศรี
3. จบเพลงเร็ว ลา     รำตามทำนองเพลง

เครื่องแต่งกาย
ผู้แสดงแต่งกายยืนเครื่องนาง นุ่งผ้าจีบหน้านางสีน้ำเงิน ชายพกด้านซ้ายห่มสไบปักชายเดียว สวมกรองคอสวมศิราภรณ์กระบังหน้า
การแต่งกายแบบยืนเครื่องตัวนาง ดังนี้
1. กระบังหน้า อุบะ ดอกไม้ทัด
2. เกี้ยว และปิ่นปักผม
3. สไบนางปักชายเดียว (สีชมพูขลิบน้ำเงิน)
4. ผ้านุ่ง (สีน้ำเงิน)
5. กรองคอหรือนวมนาง (สีน้ำเงิน)
6. จี้นาง
7. สะอิ้งหรือสร้อยตัว
8. เข็มขัด
9. กำไลข้อมือหรือกำไลแผง
10. กำไลข้อเท้า


อ้างอิง
https://www.google.co.th/search?hl=th&authuser=0&biw=1366&bih=608&tbm=isch&sa=1&ei=b5J3XKvdFsjc9QOq87XABA&q=%E0%B8%89%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99&oq=%E0%B8%89%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2&gs_l=img.1.5.35i39l2j0l8.26251.29506..38120...0.0..0.249.1387.2-6......1....1..gws-wiz-img.jFrUuoQ_oyQ#imgdii=BhRABelnJ1eJIM:&imgrc=c1KF7RTTs89QoM:

http://cuycay.blogspot.com/2017/07/blog-post_16.html

https://www.youtube.com/watch?v=Y1kRANFt44w

รจนาเสี่ยงพวงมาลัย

รจนาเสี่ยงพวงมาลัย
ประเภทการแสดง
รำ (รำคู่ ที่เป็นชุดเป็นตอน)

ประวัติที่มา
รำรจนาเสี่ยงพวงมาลัย ปรากฏในการแสดงละครนอก ซึ่งเป็นละครรำที่มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา สันนิษฐานว่าเป็นละครที่ได้พื้นฐานมาจากละครชาตรี ลักษณะการแสดงใช้ผู้ชายแสดงล้วน มุ่งดำเนินรวดเร็ว กระบวนท่ารำไม่ประณีต พิถีพิถัน ทั้งยังไม่เคร่งครัดจารีตประเพณี ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล่านภาลัย รัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสิน ทรงได้ริเริ่มให้นางละครของหลวงแสดงละครนอกตามแบบอย่างละครชาวบ้าน โดยทรงเลือกบทละครนอกครั้งกรุงเก่า เฉพาะตอนที่ทรงเห็นว่าน่าเล่นละครมาทรงแก้ไขปรับปรุงสำนวนกลอนให้กระชับ และเหมาะแก่การแสดง แต่ยังคงความหมายเดิมอย่างครบถ้วน จึงเกิดเป็น “ละครนอกแบบหลวง”ขึ้น กล่าวกันว่า หลังจากทรงพระราชนิพนธ์กลอนบทละครแล้ว ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จฯ พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี ทรงประดิษฐ์กระบวนท่ารำประกอบ บางครั้งถึงกับทรงต้องปรับแก้กระบวน
       ตามประวัติการแสดงของกรมศิลปากร พบว่า การแสดงครั้งแรกเป็นการแสดงเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม ณ ประเทศฮ่องกง โดยนางส่องชาติ ชื่นศิริ ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ละครรำ) พ.ศ. ๒๕๓๕ แสดงเป็นนางรจนา นางสยม ฤทธิ์จรุง แสดงเป็นเจ้าเงาะ ต่อมาได้จัดการแสดงเผยแพร่ ณ. โรงละครศิลปากร โดยนางสุวรรณี ชลานุเคราะห์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นาฏศิลป์ – ละครรำ) พ.ศ. ๒๕๓๓ แสดงเป็นเจ้าเงาะ นางสุมนมาลย์ นิ่มเนติพันธ์ แสดงเป็นนางรจนา และการแสดงทั้งสองครั้งถ่ายทอดกระบวนท่ารำ โดยนางศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก หม่อมครูต่วน และนางลมุล ยมะคุปต์ ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ไทย วิทยาลัยนาฏศิลป์
รูปแบบ และลักษณะการแสดง
       รจนาเลือกคู่ หรือรจนาเสี่ยงพวงมาลัย เป็นการแสดงที่มีลักษณะพิเศษตอนหนึ่ง ในบทละครเรื่องสังข์ทอง ซึ่งมีพระสังข์เป็นพระเอก และรจนา เป็นนางเอก ในตอนรจนาเสี่ยงพวงมาลัยนี้มีชื่อเรื่องว่า พระสังข์ซึ่งตัวจริง รูปร่างสวยงาม ผิวเป็นทองทั้งตัว แต่แกล้งปลอมแปลงตัวโดยเอารูปเงาะเข้าสวมใส่แล้วแกล้งทำเป็นบ้าใบ้ พระสังข์ในตอนนี้จึงถูกเรียบตามรูปนอกว่า “เจ้าเงาะ” แล้วถูกพามาให้เจ้ารจนา ซึ่งเป็นเจ้าหญิงเลือกคู่ เนื่องจากเป็นบุปเพสันนิวาส นางรจนาจึงมองเห็นรูปทองข้างในของเจ้าเงาะ แล้วทิ้งพวงมาลัยให้เพื่อเลือกพระสังข์ คือเจ้าเงาะปลอม เป็นสวามี
       ท่ารำของเงาะ เป็นท่าที่อาจารย์ทางนาฏศิลป์ได้ประดิษฐ์ขึ้นเป็นพิเศษ ไม่เหมือนท่ายักษ์ ไม่เหมือนท่าพระ (มนุษย์) และไม่เหมือนท่าลิง เป็นท่ายักษ์ปนมนุษย์กลายๆ และเพลงหน้าพาทย์ประกอบการไปของเงาะ การใช้เพลง “กลม” คลายกับที่ใช้กับเทวดา จึงนับว่า

การรำแบ่งเป็นขั้นตอนต่าง ๆ ได้ดังนี้

ขั้นตอนที่ ๑

เจ้าเงาะและนางรจนา รำออกตามทำนองเพลงลีลากระทุ่ม

ขั้นตอนที่ ๒

เจ้าเงาะรำตีบทตามบทร้องเพลง ลีลากระทุ่ม นางรจนารำท่าเพลงช้า

ขั้นตอนที่ ๓

นางรจนารำตีบทตามบทร้องเพลงลมพัดชายเขา

ขั้นตอนที่ ๔

เจ้าเงาะ และนางรจนา รำตีบทตามบทร้องเพลงเชิดฉิ่ง

ขั้นตอนที่ ๕

รำเข้าตามทำนองเพลงเร็ว และลา

ดนตรี และเพลงที่ใช้ประกอบการแสดง
       ใช้วงปี่พาทย์ไม้นวม
       เพลงที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดง เพลง ลีลากระทุ่ม เพลง ลมพัดชายเขา เพลงเชิดฉิ่ง และเพลงเร็ว - ลา
เครื่องแต่งกาย
       ผู้แสดงแต่งกายยืนเครื่อง เจ้าเงาะสมศีรษะเงาะ นางรจนา ศิราภรณ์ รับเกล้ายอดเกล้า

บทร้องรจนาเสี่ยงพวงมาลัย

- ปี่พาทย์ทำเพลงลีลากระทุ่ม -
( เจ้าเงาะ และนางรจนา ออกรำ)

 เมื่อนั้น
พิศโฉม พระธิดา วิลาวัณ
งามละม่อม พร้อมสิ้น ทั้งอินทรีย์
แสร้งทำ แลเลี่ยง เบี่ยงเบือน
พระจึง ตั้งสัตย์ อธิษฐาน
ขอให้ ทรามสงวน นวลน้องเจ้าเงาะ แสนกล คนขยัน
ผุดผาด ผิวพรรณ ดังดวงเดือน
นางใน ธรณี ไม่มีเหมือน
ให้ฟั่นเฟือน เดือนจิต คิดปอง
แม้นบุญญา ธิการ เคยสมสอง
เห็นรูปพี่ เป็นทอง ต้องใจรัก - ร้องเพลงลมพัดชายเขา - เมื่อนั้น
เทพไท อุปถัมภ์ นำชัก
นางเห็น รูปสุวรรณ อยู่ชั้นใน
ใครใคร ไม่เห็น รูปทรง
ชะลอยบุญ เราไซร้ จึงได้เห็น
คิดพลาง นางเสี่ยง มาลารจนา นารี มีศักดิ์
นงลักษณ์ ดูเงาะ เจาะจง
เอารูปเงาะ สวมใส ให้คนหลง
พระเป็นทอง ทั้งองค์ อร่ามตา
ต่อจะเป็น คู่ครอง กระมังหนา
แม้ว่า เคยสม ภิรมย์รัก -ร้องเพลงเชิดฉิ่ง- ขอให้ พวงมาลัย นี้ไปต้อง
เสี่ยงแล้ว โฉมยง นงลักษณ์เจ้าเงาะ รูปทอง จงประจักษ์
ผินพักตร์ ทิ้งพวง มาลัยไป - ปี่พาทย์ทำเพลงเชิดฉิ่ง – เพลงเร็ว –

(นางรจนาทิ้งพวงมาลัย ให้เจ้าเงาะแล้วเข้าร่วมรำเพลงเร็ว จนจบกระบวนแล้ว เข้าโรง)

โอกาสที่ใช้แสดง
เผยแพร่แลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรม และเผยแพร่ให้ประชาชนชม


อ้างอิง

วิธีการทำฝอยทอง





วิธีการทำฝอยมอง
    เชื่อว่าใครหลายคนคุ้นเคยกับฝอยทอง สูตรขนมไทยมงคลตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ใครอยากทำกินเองบอกเลยว่าไม่ยากและสนุกด้วยค่ะ กระปุกดอทคอมขอนำเสนอวิธีทำฝอยทอง สูตรนี้ใส่ทั้งไข่เป็ดและไข่ไก่เพื่อลดความคาว พร้อมเคล็ดลับความอร่อยเหนียวนุ่ม ใครไม่ชอบฝอยทองสดก็เอาไปผึ่งลมให้แห้งหรือเอาไปอบจนแห้ง

ส่วนผสม ฝอยทอง
​​      ​​◆ ​ไข่เป็ด 6 ฟอง

​​      ​​◆ ​ไข่ไก่ 3 ฟอง

​​      ​​◆ ​น้ำตาลทรายขาว 1 กิโลกรัม

​​      ​​◆ ​น้ำลอยดอกมะลิ 1,000 มิลลิลิตร (หรือน้ำผสมกลิ่นมะลิ)

​​      ​​◆ ​ใบเตย (มัดรวมกัน) 4 ใบ

อุปกรณ์
​​      ​​◆ ​กระทะทองเหลือง

​​      ​​◆ ​กรวยใบตองหรือกรวยโลหะ

​​      ​​◆ ​ไม้แหลม ยาวประมาณ 1 ฟุต

​​      ​​◆ ​ตะแกรง

​​      ​​◆ ​ถาดรองน้ำเชื่อม


วิธีทำฝอยทอง
          1. แยกไข่แดงกับไข่ขาวออกจากกันและรีดไข่น้ำค้าง (ไข่ขาวที่เป็นน้ำใส ๆ เหมือนน้ำค้างติดอยู่ภายในเปลือกไข่) ลงไปในไข่แดง (ไข่น้ำค้างทำให้เส้นฝอยทองเหนียวนุ่ม ไม่ขาดง่าย) ตีผสมไข่แดงให้พอเป็นเนื้อเดียวกัน (ไม่ต้องตีให้ขึ้นฟู เพราะจะทำให้เส้นขาดเวลาโรยลงในกระทะ) จากนั้นนำไปกรองในผ้าขาวบาง เตรียมไว้
   2. ทำน้ำเชื่อมโดยใส่น้ำลอยดอกมะลิ น้ำตาลทราย และใบเตยลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟกลางรอจนน้ำตาลละลาย จากนั้นนำไปกรองแล้วเทใส่ลงกระทะทองเหลือง เคี่ยวด้วยไฟอ่อนอีกครั้งจนเป็นเหนียวข้น
  3. ตักส่วนผสมไข่แดงลงในกรวยแล้วค่อย ๆ โรยไข่แดงลงไปในน้ำเชื่อมที่เดือด (ใช้ไฟกลาง) วนให้รอบกระทะทองเหลืองประมาณ 20-30 รอบต่อชิ้น จากนั้นยกกรวยขึ้น
          เคล็ดลับ : ถ้าต้องการฝอยทองเส้นเล็กให้ยกกรวยสูงจากน้ำเชื่อม แต่ถ้าต้องการฝอยทองเส้นใหญ่ ก็ให้ถือกรวยต่ำ ๆ
  4. พอไข่แดงสุกให้ใช้ไม้ปลายแหลมพับครึ่งเส้นฝอยทองแล้วเอามาพักบนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำเชื่อม
          ว้าว ! ตาลุกวาวพอเห็นวิธีทำฝอยทองขนมไทยสุดโปรด ถ้าทำเยอะขนาดนี้กลัวกินไม่หมดและคงเบื่อก่อน ดังนั้นต้องแบ่งไปทำเค้กฝอยทองกับขนมปังไส้ฝอยทองด้วยดีกว่า




อ้างอิง
https://www.youtube.com/watch?v=Ze_wM9oziV4

https://cooking.kapook.com/view184717.html




เจ็ทแพ็ค



   เปิดตัว เจ็ทแพ็ค เครื่องยนต์บินได้ !!
นักประดิษฐ์ จากประเทศนิวซีแลนด์เผยโฉมเครื่องยนต์ “เจ็ทแพ็ค” ที่ทำให้มนุษย์สามารถเหาะในอากาศได้ โดยพัฒนาและผลิตโดย บริษัท “มาร์ติน แอร์คราฟ” เตรียมที่จะผลิตในเชิงการค้าพร้อมจำหน่ายในเร็วๆนี้
ทั้งนี้ เครื่องเจทแพ็คของมาร์ติน มี 2 รูปแบบด้วยกันคือ 1.บินไปได้ทุกทิศทางจำกัดระยะทางได้ไม่เกิน 31.5 ไมล์ ซึ่งใช้ความเร็วประมาณ 63 ไมล์ต่อชั่วโมง และ

 2. เครื่อง ที่ขึ้นบินได้โดยที่ไม่ต้องใช้คนขับ (Unmanned aerial vehicle) ซึ่งบริษัทจะทำการบินทดสอบโมเดลนี้เริ่มตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นไป ส่วนโมเดลที่ใช้คนขับจะเริ่มทดสอบในปี 2012การทำงานก็คือ เพียงสะพายเครื่อเจ็ทแพ็คก็บินได้แล้ว ขับเคลื่อนด้วยน้ำมัน ความจุ 2 ลิตร เครื่องยนต์200 แรงม้า? ตัวถังทำจาคาร์บอน ไฟเบอร์ หนักประมาณ 250 ปอนด์? และสามารถบรรทุกน้ำหนักได้มากสุดประมาณ 600 ปอนด์ การลงจอด ต้องมีพื้นที่กว้างประมาณ 5.5 ฟุต สูง 5 ฟุต ยาว 5 ฟุต? ส่วนเครื่องโมเดลสำหรับในตลาดทั่วไปอาจจะมีการดัดแปลงให้กระทัดรัดมากยิ่งขึ้นทั้งนี้ ราคาเมื่อเทียบกับเครื่องบินก็ต่ำกว่ามาก คือเครื่องละ 75,000 เหรียญสหรัฐเท่านั้น



อ้างอิง
https://www.google.co.th/search?q=%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B9%87%E0%B8%84%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B9%87%E0%B8%84&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ved=0ahUKEwjZvYiC6t3gAhVEtY8KHR2lDswQ_AUIDigB&biw=1366&bih=657#imgdii=BzgMyen_KlDJXM:&imgrc=v2DZiNzrli4tLM:

https://news.mthai.com/world-news/89408.html